วัดถ้ำเมืองนะ (ตอนที่ 2)
ขึ้นชื่อว่าหลวงตาม้าแล้ว ท่านมีเรื่องเล่ากล่าวขานมากมายนัก ลูกศิษย์ลูกหาท่านมีทั่วประเทศ ข้ามไปถึงฝั่งพม่าเลยทีเดียว เรื่องเล่าไม่ปรากฏเป็นหลักฐานแน่ชัดนักผมขอไม่กล่าวถึง หากผู้ที่สนใจและศรัทธาสามารถลองหาอ่านเสาะหาข้อมูลดู แล้วท่านจะไม่สงสัยเลยทำไมวัดที่อยู่ไกลแสนไกลนี้ ถึงมีผู้คนมาจากทั่วสารทิศ อีกทั้งมีสิ่งปลูกสร้างที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนสุด จะปรากฎเป็นลานกว้างมีหลังคาคลุม ลมพัดเย็น อาคารมี 3 ด้านเปิดรับลม ส่วนด้านที่ติดกับหน้าผา เจาะช่องตรงพอดีกับถ้ำ เป็นถ้ำผาที่ไม่ลึก แต่ปากถ้ำใหญ่ หลังคาถ้ำสูงเหมือนแกรนด์ฮอลโรงแรมห้าดาว เย็นสดชื่นไม่อับชื้นเหมือนถ้ำทั่วไป ในถ้ำจะมีพระพุทธรูปประจำวัดที่มีลักษณะเฉพาะ คือพระพุทธรูปจะทรงเครื่องเต็ม มีพระพุทธรูปน้อยใหญ่ และยังมีรูปจำลองเกจิ ภายในบริเวณถ้ำ จะมีคนนั่งสวดมนต์ภาวนาบทพระจักรพรรดิตลอดเวลา ภายในถ้ำคะเนด้วยสายตาน่าจะจุคนได้ราว 20-30 คนได้หลวมๆ ถ้ามากก็ล้นมาปากถ้ำ ใครเหนื่อยล้าก็ออกมาพัก ทำธุระ กินอาหาร นอนหลับ เมื่อร่างกายพร้อมก็สวดใหม่ หมุนเวียนสับเปลี่ยนไปไม่หยุด ถัดจากถ้ำออกมาจะเป็นลานกว้าง จะเห็นผู้ศรัทธามากมายมีมุ้ง (ลักษณะคล้ายกลดพระธุดงค์) บ้างนอนหลับ บ้างนั่งสวดมนต์ในมุ้ง บางคนมาอยู่กันเป็นเดือนๆก็มีห้องให้เป็นระเบียบเรียบร้อย มีห้องน้ำแยกชั้นนอนชายหญิงชัดเจน
หลังจากนมัสการ ถ่ายรูป นั่งชิลล์ตามสมควรก็ลงมาด้านล่าง มีสิ่งปลูกสร้างใหม่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เป็นโบสถ์หลังย่อม เราเลยจะแวะเยี่ยมชมสักเล็กน้อย พอย่างมาถึงประตูโบสถ์ทางเข้าก็เกิดความประหลาดใจ เพราะศิลปะที่อยู่ตามกำแพงและผนังไม่ใช่เป็นแบบที่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทั้งรูปแบบและสีสันชวนให้หลงใหลอย่างยิ่ง นี่ขนาดยังสร้างไม่เสร็จยังสวยขนาดนี้ ความงามนี้สามารถบรรยายได้ด้วยภาพเท่านั้น ลองพิจารณาดูเอาเองเถิดท่าน
เราอยู่ในโบสถ์พักใหญ่เลยทีเดียวเนื่องด้วยรายละเอียดภาพสีที่เหมือนอยู่บนสวรรค์นั้นมีมากเหลือเกิน เหล่าทวยเทพเทวดาทั้งที่เป็นรูปปั้น ภาพเขียนสี ประดับกายด้วยเพชรนิลจินดาหลากสีสันเหมือนเหาะลงมาจากแดนสวรรค์มานมัสการพระพุทธะเบื้องหน้า ใจพลันนึกว่านี่เราไปอยู่ไหนมา ทำไมเราถึงเพิ่งมาที่นี่ทั้งที่เราก็มาเชียงใหม่แล้วหลายรอบ ขาออกก็นั่งดูพิจารณาหน้าบรรณ ซุ้มประตู บันไดนาค งานละเอียดเกล็ดนูนมีริ้วเป็นพันเป็นหมื่นเกล็ด ช่างเสริมบารมีศรัทธาให้โบสถ์หลังนี้อย่างยิ่ง
ออกจากโบสถ์มาก็เดินสำรวจไปรอบๆ เหมือนนักท่องเที่ยวแทบไม่มีเลย ผู้คนที่เห็นมากมายคือผู้ศรัทธามานอนที่นี่กันเพื่อสวดมนต์ ด้านหลังวัดเห็นมีทางขึ้นเขากลับกุฏิสำหรับพระ หรือฤาษีที่ประจำอยู่ที่นี่ อ่านไม่ผิดครับที่นี่มีฤาษีนั่งสวดภาวนาอยู่แบบเดียวกับที่เราอ่านในรามเกียรติ์นั่นแหละครับ ผิดก็แต่ฤาษียุคปัจจุบันไม่ได้นุ่งหนังเสือเบงกอล แต่เป็นผ้าสมัยใหม่สีเดียวกันทั้งชุด มีทั้งสีแดงสีเขียวสีขาว อาจแตกต่างกันในเรื่องปฏิบัติไม่อาจทราบได้ แต่หากมีโอกาสจะเขียนเล่าเรื่องราวของดงฤาษีให้ได้รับทราบกันครับ
ถึงตอนนี้คงจะพอเห็นภาพกันแล้วว่าสิ่งหลายๆสิ่งในเมืองไทยที่เราๆท่านๆคิดว่าเคยเห็นแล้ว รู้แล้ว เคยไปมาแล้ว คงจะไม่ทำให้ท่านรู้สึกตื่นเต้นอะเมซซิ่งเท่าไหร่ แต่อย่างที่เรียนครับ ไม่ไปไม่รู้ ไม่ดูไม่เห็น ให้อ่านหนังสือสักหนึ่งหมื่นคำก็คงไม่เท่ามาสัมผัสด้วยตัวเอง สบโอกาสเหมาะก็แพ๊คกระเป๋าแล้วออกเที่ยวกันนะครับ…สวัสดี
Published in รีวิวจากนักท่องเที่ยว