หน้าแรก รีวิวจากนักท่องเที่ยว Part 2 &#8211...

Part 2 – แบกเป้ลุยเดี่ยวผจญภัย 4 ประเทศ 21 เมือง 36 วัน เปรู โบลิเวีย อาร์เจนติน่า และอเมริกา

896
0

เที่ยว เปรู โบลิเวีย อาร์เจนติน่า และอเมริกา

**ความต่อจากภาคที่แล้ว  ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะค่ะ ค่อยมีกำลังใจเขียนหน่อย ^^

กลับไปดูต่อแรกตามลิงค์นี้มาเลย

เที่ยวอเมริกาใต้ เปรู โบลิเวีย และอาร์เจนติน่า

เที่ยว เปรู
แบกเป้เที่ยว เปรู
หลังจากกลับจากการขี่จักยานวิบากบน Death Road of Bolivia พอกลับมาถึงโฮสเทลพวกเราก็สลบกันหมด ตื่นกันเกือบเที่ยง 55 วันนี้เราใช้ชีวิตสบายๆลงไปฝึกภาษาสเปนนั่งคุยกับคนขายทัวร์ของโฮสเทล เราถึงได้รู้ว่าเราเป็นคนไทยคนแรกที่มาพักที่โฮสเทลนี้ ดังนั้นเราจึงเป็นคนเดียวที่ปักหมุดลงบนแผ่นที่ประเทศไทยที่โฮสเทลนี้ รู้สึกภูมิใจเหมือนกันแฮะ 55 บ่ายๆออกไปเดินเล่นที่ตลาด แล้วก็ไปทานfondueที่ร้านอาหารสวิสในเมืองกับเพื่อนๆที่โฮสเทล เจ้าของร้านเป็นชาวสวิส และมีภรรยาเป็นชาวโบลิเวีย ทั้งสองคนเจอกันตอนที่เจ้าของร้านมาเที่ยวแบกเป้กับเพื่อนๆสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แล้วได้ตกหลุมรักกับสาวโบลิเวียคนนี้ เค้าจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่โบลิเวียและเปิดร้านอาหารสวิสด้วยกันที่La Paz พวกเค้าอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปีล่ะ เป็นคู่ที่น่ารักมากๆ หลังจากนั้นเราก็ไปนั่งเล่นดูคนเดินไปมาที่พลาซ่า มันช่างมีความสุขจริงๆ กับการได้ใช้ชีวิตช้าๆ enjoying the moment อยากเดินไปไหนก็ไป อยากแวะดูอะไรก็ดู เวลาหิวก็เดินออกไปกินอาหารที่ขายตามรถเข็นใกล้ๆโฮสเทลบ้าง ระหว่างทางบ้าง อาหารราคาถูกมากกก อร่อยด้วย อาหารแต่ล่ะอย่างดูค่อนข้างแปลกตาและรสชาติไม่คุ้นเคย มันไม่เชิงเหมือนอาหารแม็กซิกัน บางอย่างคล้ายๆhot dogแต่ก็ไม่ใช่ ขอโทษด้วยที่ไม่มีรูปภาพบรรยาย เพราะจุดนั้นคือหิวและหนาวมากกก เลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ นอกจากอาหารจะถูกแล้วค่าที่พักก็ยังถูกอีก (แพงอย่างเดียวคือค่าตัวเครื่องบิน) เราพักโฮสเทลตลอด ห้องรวมบ้าง ห้องเดี่ยวบ้าง ราคาคืนล่ะไม่เกิน 15 เหรียญ (USD) อาหารตามร้านดีๆเลยนี่มื้อละแค่ประมาณ 350-500 บาท ส่วนอาหารตามรถเข็นราคาแค่ 30-80 บาท เท่านั้นเอง
10437435_10152654824927494_6073967002256066548_n
ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนเราจะชอบทำตัวให้กลมกลืนกันคนท้องถิ่นที่นั้น ให้เหมือนว่าเราอยู่ที่นั่นปรกติ เราชอบทำความรู้จักกับคนท้องถิ่นและเพื่อนๆต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศต่างๆทั่วโลก เราชอบที่จะฟังคนเหล่านั้นเล่าถึงประสบการณ์การเดินทางของพวกเค้า แลกเปลี่ยนความคิดในเรื่องต่างๆ เพราะนอกจากมันจะทำให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้นแล้ว เรายังมีความสุขในการสำรวจเมืองนั้นๆที่เราไปด้วย นอกจากคนท้องถิ่นจะให้ความเป็นกันเองกับเรา เราก็จะได้เพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยในที่ต่างๆ นอกจากเราจะปลอดภัยเวลาเดินทางคนเดียวแล้วก็ยังประหยัดค่าเดินทางลงได้ด้วยเพราะมีคนช่วยแชร์ค่ารถ ค่าที่พัก เป็นต้น
10443612_10152654826112494_4254045668897217970_n
เราชอบเที่ยวแบบนักเดินทาง ทุกๆครั้งที่เราเดินทางแบกเป้ เราแทบไม่ได้เอาของมีค่าติดตัวไปด้วยเลยนอกจากเงิน และกล้องถ่ายรูปเพราะเราชอบถ่ายรูปมากกก ส่วนมากเราจะใช้กล้องAction Camที่เบาและพกพาง่าย กันน้ำได้ ตกจากที่สูงได้ เพราะเราไม่รู้ว่าในระหว่างทางเราจะเจออะไรบ้าง เราเลยต้องเตรียมพร้อม ดังนั้นพวกของหนักๆ หรือกล้องใหญ่ๆเราจะไม่เอาไปเด็ดขาด (แค่เป้ที่แบกก็จะแย่ล่ะ 55) แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือรอยยิ้ม  เพราะมันจะช่วยสร้างมิตรภาพระหว่างการเดินทาง 🙂
หลังจากที่เราอยู่ดื่มด่ำกับเมืองLa Pazเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ก็ถึงเวลาที่ต้องล่ำราเพื่อนๆที่โฮสเทลแล้ว พวกเพื่อนๆในห้องจะเดินทางต่อไปประเทศChile และประเทศPeru แต่เรา Adam และDiegoตั้งใจที่จะเดินทางไป Salar De Uyuni ที่เมือง Uyuni เพราะมันคือเหตุผลหลักที่เราตัดสินใจมาอเมริกาใต้เลย เราตั้งใจที่จะไปSalar De Uyuniที่ประเทศโบลิเวีย และMachu Picchuที่ประเทศPeru ดังนั้นเราสามคนจึงเดินทางต่อโดยรถบัสเพื่อไปที่เมืองSucre ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศโบลิเวีย เพื่อที่จะต่อรถไปเมืองUyuni

พวกเราเลือกนั่งรสบัสตอนกลางคืนเพื่อที่จะประหยัดเวลาและค่าที่พัก ก่อนที่จะขึ้นรถบัสAdamบอกว่า “นิกิ เราอาจจะตายกันที่นี่” เราก็ตอบกลับไปว่า “อะไรนะ?!!” Adamบอกว่า “รู้รึเปล่าว่าการเดินทางในโบลิเวียด้วยรถบัสมันอันตรายมาก มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยมาก และแต่ละครั้งก็ร้ายแรงเพราะส่วนใหญ่รถจะเสียหลักตกเขา โดยเฉพาะนั่งรถบัสตอนกลางคืน เพราะทางขรุขระ แคบ และมืดมาก” เราก็แบบว่าแล้วจะมาบอกทำไมตอนนี้!! กำลังจะก้าวขาขึ้นรถบัสอยู่ล่ะ ก้าวขาขึ้นไม่ออกเลยทีนี้ -_-”

Salar De Uyuni
พอขึ้นไปบนรถบัส ที่นั่งนั่งสบายมากเป็นที่นั่งแบบวีไอพี เราก็นั่งมองทางไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็เห็นไม้กางเขน และดอกไม้วางเป็นหย่อมๆ ระหว่างทางไปตลอด เราก็พยายามไม่คิดอะไร เรานั่งฟังเพลงในiPod และมองดูท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวนับล้านดวง มันสวยมากกกกก เห็นแล้วน้ำตาจิไหล เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราเห็นดาวเยอะและชัดขนาดนี้ เรารู้สึกว่าดวงดาวและพระจันทร์มันอยู่ใกล้โลกมากๆ เราก็หลับๆตื่นๆจนมาถึงจุดพักรถ เพื่อที่จะแวะเข้าห้องน้ำ และดื่มกาแฟ
IMG_6639
พอรถจอดเราก็ก้าวขาลงจากที่นั่งโดยที่ไม่ได้สังเกตุว่ามีคนนอนอยู่บนพื้นรถบัส เราก็ตกใจเพราะเหยียบเค้าไปนิดนึงล่ะ 55 แต่ก็ขอโทษเค้าไป พอลงไปต่อคิวเข้าห้องน้ำเราก็งงว่าเค้าเอาถังมาวางหน้าห้องน้ำกันทำไม พอถึงคิวเราถึงwfhรู้ว่า ทุกคนต้องถือถังน้ำที่ใส่น้ำแล้วของตัวเองมายืนรอที่หน้าห้องน้ำ เพราะในห้องน้ำไม่มีน้ำเราจึงต้องถือถังมาลาดเอง เป็นประสบการณ์ใหม่ที่แปลกดี ป้าที่เข้าไปก่อนหน้าเราดันอึใช่น้ำถังเดียวราดไม่พอจึงมาขอของเราไปใช้แล้วบอกว่าเดี๋ยวจะไปตักมาไว้ให้หน้าห้องน้ำ ป้าพูดเป็นภาษาสเปนแต่เราก็เข้าใจแฮะ 55
เมืองSucre

หลังจากที่นั่งรถบัสมายาวนาน 12 ชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงเมืองSucre พวกเราไม่ได้จองที่พักไว้จึงต้องแบกเป้เดินหาที่พักกันอยู่พักนึง พวกเราได้ที่พักที่อยู่ใกล้กับพลาซ่าของเมือง และอยู่ใกล้ตลาด เป็นห้องเดี่ยวแต่ราคาย่อมเยาว์ และมีอาหารเช้า พอถึงที่พักเราก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะใส่มาทั้งคืน และอากาศที่เมืองSucreก็อุ่นกว่าตอนอยู่ที่เมืองLa Pazเพราะว่าอยู่ต่ำกว่า พวกเราออกไปทานอาหารกลางวันและเดินเล่นในเมือง มันดูแตกต่างจากเมืองLa Paz สวยและดูสงบกว่า คล้ายๆยุโรปในบางมุมเหมือนอิตาลี พวกเรากินอาหารในร้านหรูของที่นั่นทุกเย็นในราคามื้อล่ะไม่เกิน 500 บาท กลางวันพวกเราจะทานอาหารตามร้านท้องถิ่นที่พวกเราสะดวก ซึ่งเราก็จะทานแต่ซุป ไก่ทอด ไก่ย่าง สเต็ก และสลัด อาหารส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อไก่ และเนื้อลาม่า เพราะภูมิประเทศของโบลิเวียเป็นที่ราบสูงบนภูเขาซ่ะส่วนใหญ่ เป็นดินปนทราย อากาศแห้ง อย่าถามถึงอาหารทะเลเพราะว่าไม่มี 55

เที่ยวเมือง Sucre
วันรุ่งขึ้นพวกเราก็เดินทางออกนอกเมืองเพื่อไปดูภูเขาที่มีฟรอสซิสของไดโนเสาร์ดึกดำบรรพ์ที่ใหญ่มากกกก มันใหญ่จริงๆ หลังจากนั้นพวกเราก็กลับเข้าเมืองไปนั่งเล่นที่พล่าซ่า และตัดสินใจอยู่ที่Sucreต่ออีกคืนนึง เพราะพวกเราชอบเมืองนี้มาก Sucreดูสะอาดกว่าทุกเมืองในโบลิเวียที่เราได้ไปมา พวกเราไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยน สั่งอาหารกันมาหลายอย่างแต่เสียค่าเสียหายกันไปคนล่ะไม่ถึง 450 บาท ร้านอาหารอยูบนชั้นสองของตึกเก่าซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพลาซ่า (พลาซ่าคือจุดส่วนรวมของคนในเมือง เป็นที่นิยมของคนในเมืองมานั่งเล่น หรือทำกิจกรรมต่างๆ) พวกเราเลือกที่นั่งข้างนอกตรงระเบียง อากาศเย็นๆแต่ไม่ถึงกับหนาว เรานั่งดูคนเล่นดนตรีในพลาซ่าและทานอาหารอร่อยๆไปพร้อมๆกันมันช่างมีความสุขจริงๆ 🙂
เที่ยวโบลิเวีย
เที่ยวเมือง Sucre
เที่ยวเมือง Sucre
เที่ยวเมือง Sucre
เที่ยวเมือง Sucre
เที่ยวเมือง Sucre โบลีเวีย
10300633_10152654845542494_7085518233978816883_n
10492279_10152654847657494_2885196350993160331_n
เที่ยวเมือง Sucre โบลีเวีย
เที่ยวเมือง Sucre โบลีเวีย
เช้าวันต่อมาหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเราก็เดินทางไปที่สถานีรถบัสเพื่อที่จะซื้อตั๋วรถบัสเดินทางไปเมือง Uyuni หลังจากซื้อตั๋วเสร็จพวกเราก็นั่งรถเล่นชมเมืองไปเรื่อยๆจนมาถึงตลาด พวกเราแวะลงเดินเล่นที่ตลาดสด มีลาม่าแขวนเป็นตัวเลยจ้า เราเห็นแล้วตกใจมาก Adamเลยหันมาบอกว่าก็เหมือนตอนที่ไอเห็นหัวหมูในตลาดสดที่เมืองไทยนั่นแหละ เราก็เลยคิดว่าเออเนอะคนที่นี่เค้ากินเนื้อลาม่ากัน มันเป็นเรื่องปรกติแค่เราไม่ชิน พวกเราซื้ออาหารโบลีเวียคล้ายๆแซนวิชไปนั่งกินที่พลาซ่า และแวะนั่งดูชาวโบลิเวียเต้นB-Boyกันระหว่างทางกลับที่พัก เต้นกันเก่งด้วยนะขอบอก นั่งๆดูก็เพลินไปอีกจนเกือบลืมว่าคืนนี้เราต้องขึ้นรถบัสต่อไปเมืองUyuni
เมือง Uyuni
เที่ยวเมือง Uyuni
เที่ยวเมือง Uyuni
แต่พอพวกเราไปถึงสถานี รถบัสที่เราจะต้องนั่งไปเมืองUyuniดันโดนผู้ชุมนุมปาหินใส่กระจกแตกเลยให้บริการไม่ได้ ขณะนั้นเป็นเวลา20.30 พวกเราเลยตัดสินใจกันว่าจะนั่งเครื่องบินไป แต่พอไปถึงสนามบินถึงกับอึ้งเพราะว่ามันมืดและเล็กมากกกก อย่างกับสนามบินร้าง สรุปสนามบินปิด พวกเราเลยต้องนั่งรถกลับมาที่สถานีรถบัสเมืองSucre และพยายามหารถเช่าเพื่อเดินทางไปเมืองUyuniแต่ก็ไม่มีรถคันไหนยอมไปเลย พวกเราจึงต้องกลับโฮสเทลไปตั้งตัวแล้วนอนต่ออีกคืนนึง
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราเดินทางมาสถานีรถบัสเมืองSucreอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีรถบัสคันไหนยอมออกเดินทางไปUyuni เนื่องจากผู้ชุมนุมไม่ยอมให้รถบัสผ่านเข้าไปเลย นอกจากรถของคนท้องถิ่น เพราะพวกเค้าประท้วงรัฐบาลของเค้าด้วยการปิดเมืองUyuniซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในประเทศโบลิเวีย วันนี้เจอเพื่อนที่ไปขี่จักรยานวิบากด้วยกันมาชื่อManue เค้าจะเดินทางไปเมืองUyuniเหมือนกัน พวกเราจึงตัดสินใจเดินทางไปด้วยกัน 
เที่ยวเมือง Uyuni
พวกเราตัดสินใจนั่งรถบัสไปเมืองPotosiเพราะหวังว่าจะต่อรถไปเมืองUyuniจากที่นั่นได้ ขณะที่นั่งรอเวลารถออกกันอยู่ตรงหน้าgateที่รถบัสควรจะต้องมาจอดแต่ก็ไม่เห็นรถบัสมาสักที พวกเราจึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่ สรุปว่ารถบัสออกไปแล้วพร้อมกระเป๋าของพวกเราทุกคน.. -_-” พวกเราจึงวิ่งไปเรียกแท็กซี่เพื่อขับตามรถบัสไป แต่แท็กซี่ก็หารถบัสคันนั้นไม่เจอ ตามไม่ทัน พวกเราจึงตัดสินใจวนกลับมาที่สถานีรถบัสเมืองSucreอีกรอบ เพื่อที่จะรอรถบัสคันต่อไปที่จะเดินทางไปเมืองPotosi ระหว่างทางจากเมืองSucreไปเมืองPotosiมีภูเขามากมาย และตามทางจะเห็นหลุมฝังศพและดอกไม้อยู่ข้างทางเป็นปรกติ อยู่มาหลายวันเลยเริ่มชินล่ะ 55
เมืองPotosi
เมืองPotosi
เมืองPotosi
เมืองPotosi
พวกเราเดินทางมาถึงPotosiเวลาประมาณ16.00 และพวกเรายังพยายามหารถเพื่อเดินทางต่อไปเมืองUyuniแต่ก็ไม่มีรถไปที่Uyuniเลย เพราะมีการชุมนุมประท้วงรัฐบาลปิดการจราจรเส้นหลักไม่สามารถเดินทางผ่านได้ พวกเราก็พยายามกันถึงที่สุดเพื่อที่จะได้เดินทางไปถึงUyuniภายในคืนนั้น ถึงแม้พวกเรารู้ว่าจะต้องเดินเข้าเมืองเป็นระยะทางไกลกว่า 20 กิโลเมตร ก็ตามแต่เพื่อSalar De Uyuniพวกเรายอม แต่ก็ไม่มีรถบัสเดินทางไปเมืองUyuniในคืนนั้นเลย พวกเราจึกตัดสินใจพักที่Potosi 1 คืน แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยหาหนทางกันต่อไป
เมืองUyuni เมืองUyuni
เมืองUyuni
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราเดินทางกลับไปที่สถานีรถบัสอีกครั้งเพื่อที่จะหารถเดินทางไปเมืองUyuni และในที่สุดพวกเราก็หารถเช่าที่ยอมพาพวกเราไปเมืองUyuniได้ ขณะที่นั่งรถไปนั้นก็มีผู้หญิงท้องถิ่นพร้อมลูกสาวนั่งไปด้วย พวกเราจึงต้องนั่งเบียดกันสี่คนอยู่ข้างหลัง เรารู้สึกทรมานและเมารถมาก เพราะทางแย่ รถแคบ และคนขับรถกลิ่นเหม็นมากกก เราเลยสะกดจิตตัวเองให้หลับ Diegoถามว่ายูหลับลงได้ยังไงไอนั่งยังลำบากเลย เราเลยบอกว่ามันเป็นความสามารถพิเศษของไอนะ 55 แต่ที่น่าเศร้าคือพอพวกเราเดินทางไปถึงจุดที่ผู้ชุมนุมปิดถนน มันไม่ใช่แค่ 20 กิโลเมตร ที่พวกเราจะต้องเดินไป Uyuni แต่มันกลายเป็น 60 กิโลเมตร!!! ที่พวกเราจะต้องเดินไปในสภาพอากาศตรงนั้นซึ่งหนาวมากถึงขั้นติดลบ มีหมอกลงจัด และมืดมากกกก พร้อมเป้ใบใหญ่แต่พวกเราเต็มใจที่จะเดินแบกสัมภาระของพวกเราฝ่าความมืดและอากาศที่เย็นจัดเพื่อที่จะได้ไปSalar คนขับรถและคนชุมนุมเจรจากันอยู่พักใหญ่ ระหว่างที่เค้าตกลงกันเราอยู่ในสภาวะหูหนวกเป็นใบ้ คิดในใจขอsub-titleด้วยได้มั้ยอ่ะ เราจึงเข้าไปนั่งรอในรถเพราะอากาศหนาวมาก แต่แล้วพวกผู้ชุมนุมก็ไม่ให้พวกเราผ่านเข้าไปอยู่ดี และบอกว่าเมืองUyuni completely shutdown พวกเค้าไม่ต้องการให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปในเมืองUyuni พวกเราจึงไม่สามารถเดินทางเข้าไปในเมืองUyuniได้เลย ดังนั้นการเดินทางไปSalar De Uyuniก็ไม่มีทางเป็นไปได้อีกต่อไป…. พวกเราเศร้ามากเพราะSalar De Uyuniเป็นสถานที่ที่พวกเราอยากไปมากที่สุดในโบลิเวีย
พวกเราจึงต้องเดินทางกลับมาที่เมืองPotosi รวมเวลานั่งรถไปกลับเกือบหกชั่วโมงที่พวกเราต้องนั่งเบียดกันอยู่บนรถเช่า เมื่อกลับมาถึงที่เมืองPotosiรถเช่าที่พาพวกเรามาไม่ยอมขับไปส่งพวกเราที่โฮสเทล พวกเราจึงต้องแบกสัมภาระของพวกเรา รอรถแท็กซี่และเดินหาที่พักกันในเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ที่พักส่วนใหญ่ปิดประตูกันหมดแล้ว พวกเราเดินหาอยู่พักนึงก็เจอที่พักแห่งนึงที่ปิดประตูแล้วแต่มีไฟเปิดอยู่ พวกเราจึงตัดสินใจเคาะประตูและในที่สุดพวกเราก็หาที่พักได้และถึงที่พักอย่างปลอดภัย คืนนี้ขอพักก่อน พรุ่งนี้ค่อยคิดหาหนทางกันว่าพวกเราควรจะทำยังไงกันต่อไปดี..
ปล. ระหว่างเดินทางกลับมาที่Potosiมีตำรวจหญิงคนหนึ่งได้กำชับคนขับรถว่าต้องส่งพวกเราให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัยนะ แล้วเธอก็จดชื่อกับทะเบียนรถของคนขับไว้ เพราะมีหลายครั้งที่คนขับรถเช่าจับนักท่องเที่ยวไว้เป็นตัวประกันเพื่อแลกเงิน OMG…
**โปรดติดตามตอนต่อไปนะค่ะว่าพวกเราจะตัดสินใจกันอย่างไร…
เรามีวีดีโอภาพบรรยากาศรวมๆของเมืองมาให้ด้วยตามลิงค์ด้านล่างนี้นะ 🙂

ขอฝากไว้ทิ้งท้าย.. การเดินทางครั้งนี้ทำให้แค่คนที่รู้จักกันกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทาง และจากเพื่อนร่วมทางกลายมาเป็นเพื่อน มิตรภาพที่ดีหาได้จากการเดินทางนะ 🙂 ตอนอยู่ที่นั่นเราแทบจะไม่ได้แตะโทรศัพท์เลยนอกจากจะเอาออกมาถ่ายรูป อีกอย่างบางทีภาพที่เราถ่ายออกมามันไม่สวยเท่ากับที่เราเห็นด้วยตาของตัวเอง และกล้องมันก็ไม่สามารถบันทึกความรู้สึกของเราในขณะนั้นได้ดีเท่ากับการบันทึกมันในความทรงจำของเราเอง การเดินทางแบบนี้บางทีเรามีความสุขในช่วงเวลาขณะนั้นจนทำให้เราลืมการถ่ายรูปไป เราสนุกในการได้รู้จักคนใหม่ๆที่เค้ามีแนวความคิดที่ดีและแตกต่าง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเพราะแต่ล่ะคนมาจากต่างที่ ต่างภาษา อายุก็ต่างกัน เวลาคุยกับคนพวกนี้แล้วทำให้เราได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ บางทีมันอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุด คนเหล่านี้เดินทางกันมาเกือบทั่วโลกแล้ว เราอาจจะเคยเดินทางมาเยอะ แต่ยังมีอีกหลายที่ที่เราไม่เคยไป แม้เราจะได้เห็นสถานที่ที่เราไม่เคยไปจากรูปภาพ ได้อ่านรีวิวมาบ้าง แต่เราไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เท่ากันคนที่เค้าเคยไปเห็นด้วยตาตัวเองและได้สัมผัสมันมาด้วยตัวของเค้าเอง คนพวกนี้มีความคิดที่แตกต่าง และมีโลกทัศน์ที่กว้าง คนหลายคนไม่เข้าใจการเดินทางแบบแบกเป้ว่า จะไปลำบากทำไม เหนื่อยก็เหนื่อย แถมดูเหมือนพวกซัมเหมา แต่จริงๆแล้วเพื่อนๆที่เราได้รู้จักระหว่างการเดินทางนั้น พวกเค้าไม่ได้ไม่มีเงินพอที่จะพักที่พักแพงๆ แต่เค้าเลือกที่จะเดินทางแบบนี้เอง เพราะเค้าเลือกที่จะได้สัมผัส ได้ดื่มด่ำกับการเดินทาง ความสนุกของการเดินทางมันไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย แต่มันคือความสนุกและการผจญภัยระหว่างการเดินทาง คนพวกนี้มาเที่ยวกันเป็นเดือน เดินทางกันเป็นปี ไม่ได้ไปแค่อาทิตย์เดียว ดังนั้นพวกเค้าจึงต้องควบคุมbudgetของตัวเอง และใช้ให้มันคุ้มค่าที่สุด พวกเค้ายอมพักที่พักที่ถูกลงเพื่อที่จะได้เห็นได้สัมผัสมากขึ้น เพราะว่าพวกเค้าเป็นนักเดินทางไม่ใช่นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเพียงเพื่อถ่ายรูปให้รู้ว่าฉันได้ไปมาแล้ว เราโชคดีที่เราได้เจอแต่เพื่อนร่วมทางที่ดี
ปล.การแบกเป้เที่ยวไม่ได้ลำบากอย่างที่คิดนะ กระเป๋าจะหนักไม่หนักมันอยู่ที่เราจัดและแบบของกระเป๋า เอาของไปแค่ที่จำเป็นมันก็ไม่หนักมาก ถ้าเป้ดีมีโคลงsupportหลังก็จะช่วยได้เยอะ และการเที่ยวแบกเป้มันมีความคล่องตัวมากกว่าการเดินลากกระเป๋าเดินทางขึ้นลงรถไฟใต้ดิน และเดินหาที่พักในเมืองอย่างแน่นอนเราคอนเฟริม 55
Published in รีวิวจากนักท่องเที่ยว

แสดงความคิดเห็น

comments

ทิ้งคำตอบไว้